วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

                  หนังสืออ่านนอกเวลา
 เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ในหลักสูตรวิชาภาษาไทย ให้นักเรียนตั้งแต่ ป.1 - ม.6 อ่านเพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและพัฒนาการอ่านของตัวเอง แต่เนื้อหาจะมาเป็นหนังสือเรียนอ่านไปหลับไปก็ไม่ใช่เรื่อง ดังนั้นหนังสืออ่านนอกเวลาส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเรื่องสั้น นวนิยาย ที่อ่านสนุก ให้แง่คิดและเนื้อหาดี ซึ่งหลายๆ คนจะชอบมาก ส่วนตัวพี่มิ้นท์เองก็ชอบมากๆ เช่นกัน และมีหนังสือในดวงใจหลายเล่ม โดยเฉพาะ "แมงมุมเพื่อนรัก" \0/


เล่มแรก : แมงมุมเพื่อนรัก (อี.บี.ไวท์)
เด็กดีดอทคอม :: "หนังสืออ่านนอกเวลา" ในตำนานที่เด็กไทยต้องรู้จัก??
             น่าจะเป็นหนังสือเรื่องแรกที่อ่านแล้ววางไม่ลงแถมยังทำให้น้ำตาซึมๆ เกือบทุกตอนเลย ตัวละครหลักในเรื่องคือ แมงมุม(ชาร์ล็อต) สัตว์ที่มีหน้าตาน่าเกลียดแต่จิตใจดี และหมู(วิลเบอร์) สัตว์ผู้โชคร้าย เกิดมาก็เกือบถูกฆ่าแถมยังไม่มีเพื่อนอีก ถึงแม้ชาร์ล็อตและวิลเบอร์จะเป็นสัตว์คนละสปีชี่กัน แต่มิตรภาพก็ไม่อาจขวางกั้นได้ จนวันนึงเจ้าหมูวิลเบอร์จะถูกฆ่าเพื่อเป็นอาหารในวันคริสมาต์ ชาร์ล็อตจึงพยายามช่วยเหลือด้วยการพยายามทอใยแมงมุมให้เป็นคำที่มีความหมายต่างๆ เพื่อบ่งบอกว่าเจ้าหมูตัวนี้เป็นหมูพิเศษ จนวิลเบอร์รอดพ้นจากการถูกฆ่า แต่สุดท้ายชาร์ล็อตก้ต้องตายเสียเอง
              แมงมุมเพื่อนรักเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของมัธยมต้น ได้รับการแปลถึง 23 ภาษา และยังเป็นหนังสือที่มียอดตีพิมพ์สูงมากก ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าหนังสือเล่มนี้มีหน้าปกหลายแบบ นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องจากนิตยสาร TIME ว่าเป็นหนังสือเด็กที่ดีที่สุดแห่งศตวรรษอีกด้วย



เล่มที่สอง : นิกกับพิม (ว.ณประมวญมารค)
เด็กดีดอทคอม :: "หนังสืออ่านนอกเวลา" ในตำนานที่เด็กไทยต้องรู้จัก??
             เป็นนวนิยายที่น่ารักน่าชังอีกเรื่องนึงเลยค่ะน้องๆ โดยนิกกับพิมเป็นชื่อของสุนัข นิกเป็นสุนัขพันธุ์บ็อกเซอร์ เพศผู้ เจ้าของคือพิเชฐ ส่วนพิมเป็นสุนัข พันธุ์พุดเดิ้ล เพศผู้เช่นกัน เจ้าของเป็นหญิงสาวงามชื่อมนทิรา ทั้งสองพบกันที่ร้านขายสัตว์เลี้ยงที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พิเชฐตกหลุมรักมนทิราตั้งแต่แรกเห็น จึงพยายามทำความรู้จักกัน จนกระทั่งพิเชฐต้องกลับเมืองไทยเพราะเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เขาผิดหวัง โดยได้เอานิกกลับไปด้วย แต่ทั้งคู่ไม่ได้ร่ำลากัน ต่อมาทั้งคู่ติดต่อกันได้อีกครั้ง ผ่านจดหมายไปมาข้ามประเทศ แต่ความน่ารักอยู่ที่ตัวละครได้ถ่ายทอดเรื่องราวโดยใช้นิกกับพิมเป็นตัวเล่าเรื่องแทน ซึ่งขอบอกว่าจดหมายแต่ละฉบับที่่ส่งถึงกันทั้งน่ารัก น่าติดตาม และมีมุขสอดแทรกให้ขำทั้งเรื่องเลยล่ะค่ะ
            นอกจากการลุ้นไปกับความรักของพิเชฐกับมนทิราแล้ว น้องๆ จะได้เห็นมุมมองของผู้เขียนที่พยายามมองคนในมุมมองของสุนัข ซึ่งบางทีอ่านๆ ไปก็จะรู้สึกว่า เฮ้ย! คนเป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย นอกจากนี้ก็ยังได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องสุนัขอีกด้วย



เล่มที่สาม : อยู่กับก๋ง(หยก บูรพา)
เด็กดีดอทคอม :: "หนังสืออ่านนอกเวลา" ในตำนานที่เด็กไทยต้องรู้จัก??
            อยู่กับก๋งเป็นนวนิยายที่เคยหยิบมาทำเป็นละครแล้วด้วยนะคะน้องๆ แต่ถ้าใครเคยดูแล้วก็แนะนำให้อ่านตัวหนังสือด้วย เพราะจะให้ความรู้สึกกันคนละแบบค่ะ
            อยู่กับก๋งเป็นนวนิยายที่แต่งจากเรื่องจริงสะท้อนเรื่องราวของคนจีนที่มาอยู่ในประเทศไทย และมีหยกเป็นตัวละครวัยสิบสามปี ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่ก๋งอุปการะไว้ ทั้งคู่อาศัยอยู่ในห้องแถวเล็กๆ มีฐานะยากจน อาชีพหลักของก๋งคือช่างฝีมือ ส่วนหยกนั้นก็จะรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ ถ้ามีโอกาส
            หยกเคยสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงไม่มีพ่อแม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ก๋งได้แต่ตอบว่าเดี๋ยวโตขึ้นจะเล่าให้ฟัง แต่หยกยังเฝ้าถามเรื่อยๆ จนก๋งต้องย้อนถามกลับไปว่า ทำไมต้องถามถึงพ่อกับแม่ อยู่กับก๋งไม่มีความสุขหรือ? หลังจากนั้นหยกก็ได้พบเด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งไว้ จึงเข้าใจว่ายังมีเด็กโชคร้ายอีกมากและตัวเขาเองมีก๋งให้ความรักอยู่ทุกวันนี้ก็ดีที่สุดแล้ว
             หนังสือเล่มนี้ยังได้สะท้อนค่านิยมและความเชื่อของคนจีนไว้ด้วย รวมถึงแง่คิดที่เป็นประโยชน์ในชีวิต เช่น ความพยายาม ความอดทน การปรับตัว การเป็นคนดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นหนทางที่ทำให้เรามีความสุขและความสำเร็จ นับว่าเป็นนวนิยายที่ให้แง่คิดได้ดีทีเดียวค่ะ



เล่มที่สี่ : ความสุขของกะทิ(งามพรรณ เวชชาชีวะ)
เด็กดีดอทคอม :: "หนังสืออ่านนอกเวลา" ในตำนานที่เด็กไทยต้องรู้จัก??
             นวนิยายน้ำดี ที่ได้รางวัลซีไรต์เมื่อปี 2549 เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาที่หลายโรงเรียนให้อ่านในช่วงหลังๆ หลายคนก็น่าจะมีโอกาสได้อ่านกันไปบ้างแล้วใช่มั้ยคะ :D
             ความสุขของกะทิ เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงกะทิ วัย 9 ขวบที่มาอาศัยอยู่กับตาและยายในบ้านริมคลอง กะทิได้รับการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นจากคนที่อยู่รอบตัว โดยที่กะทิเองไม่เคยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพ่อแม่เลย จนกระทั่งวันนึง กะทิต้องพบความจริงว่าแม่ของตัวเองเป็นโรคร้ายแรงและกำลังจะจากไป แม้ว่ากะทิจะต้องเศร้าเสียใจแค่ไหน แต่คนรอบข้างของกะทิก็ยังให้ความรักและเอาใจใส่เป็นอย่างดี จนกะทิเข้มแข็งและกลับมามีความสุขอีกครั้ง
               นวนิยายเรื่องนี้ทำให้น้องๆ เห็นมุมมองของเด็กตัวเล็กๆ คนนึงที่ต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ แต่ความอบอุ่นของครอบครัวที่เรารักก็เป็นยาที่ดีที่สุดที่จะทำให้จิตใจเรากลับมาเข้มแข็งได้อีกครั้ง อ่านไปก็เตรียมพกทิชชู่ไว้ข้างๆ ได้เลยค่ะน้องๆ



เล่มที่ห้า : เรื่องของน้ำพุ (สุวรรณี สุคนธา)
เด็กดีดอทคอม :: "หนังสืออ่านนอกเวลา" ในตำนานที่เด็กไทยต้องรู้จัก??
             เรื่องของน้ำพุ เป็นนวนิยายที่มีเรื่องราวจากชีวิตจริงของครอบครัว สุวรรณี สุคนธา โดยน้ำพุเป็นชื่อของลูกชายวัยรุ่นซึ่งติดยาเสพติดและพยายามจะเลิกด้วยการไปเลิกยาที่ถ้ำกระบอก
             ครอบครัวของน้ำพุแตกแยก พ่อกับแม่ทะเลาะกันจนถึงขั้นแยกทางกัน น้ำพุเริ่มลองยาเสพติดระหว่างปีสุดท้ายของการเรียน ยิ่งเมื่อแม่มีสามีคนใหม่ เขาจึงรู้สึกแปลกแยกจากกครอบครัว จึงติดยาหนักขึ้นและใช้ยาแรงขึ้นจนกระทั่งถึงเฮโรอีน ภายหลังได้สารภาพว่าติดจึงไปเลิกยา แต่เมื่อเขากลับมา กลับไม่ได้รับการต้อนรับอย่างที่หวัง จึงกลับไปหายาเสพติดอีกครั้ง และก็ถึงคราวที่น้ำพุต้องถึงจนจบเพราะยาเสพติดจริงๆ
            เรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นปัญหาของวัยรุ่นที่เกิดจากปัญหาครอบครัว ซึ่งผู้เขียนก็ได้พยายามถ่ายทอดชีวิตจริงให้ออกมาเป็นอุทาหรณ์สอนใจ เป็นอีกเรื่องที่พี่มิ้นท์อยากให้น้องๆ อ่านเช่นกันค่ะ

                 

     รางวัลซีไรต์ 
ซีไรต์ หรือชื่อเดิมในภาษาไทยคือ "รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่ง
อาเซียน(S.E.A.WRITE AWARD) ซึ่งย่อมาจากคำว่า The South East Writer Award เส้นทางซีไรต์ จุดเริ่มต้นของรางวัลซีไรต์ จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2522 จัดโดยโรงแรมโอเรียลเต็ล การบินไทย และบริษัทในเครืออิตัลไทยโดยมีศาสตราจารย์พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร ทรงเป็น
ประธาน และได้รับความร่วมมือจากสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยและสมาคมภาษาและ หนังสือ
แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้

                    1. เพื่อให้เป็นที่รู้จักถึงความสามารถด้านสร้างสรรค์ของนักเขียนในกลุ่มประเทศ
อาเซียน
                    2. เพื่อให้ทราบถึงโภคทรัพย์ทางวรรณกรรม ทรัพย์สินทางปัญญาวรรณศิลป์แห่ง
กลุ่ม ประเทศอาเซียน
                    3. เพื่อรับทราบ รับรอง ส่งเสริมและจรรโลงเกียรติ อัจฉริยะทางวรรณกรรมของนัก
เขียนผู้ สร้างสรรค์
                    4. เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและสัมพันธภาพอันดีในหมู่นักเขียนและประชาชนทั่วไป
ในกลุ่มประ เทศอาเซียน

                    ประเทศที่เข้าร่วมตอนแรกมีทั้งหมด 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย
ฟิลิปปินส์สิงคโปร์ และไทย จนกระทั้ง พ.ศ.2529 เพิ่มประเทศบรูไนเข้ามาเป็น 6 ประเทศ
จากนั้นในปี 2539 ประเทศเวียดนามก็เข้าร่วม รวมเป็น 7 ประเทศ จนมาถึงปี 2541 ซึ่งเป็นปี
ครบรอบ "20 ปีซีไรต์"ผู้จัดได้เชิญพม่าและลาวเข้าร่วมด้วย จึงครบทั้ง 9 ประเทศในกลุ่มอาเซียน
(ขณะนั้น)ต่อมาปี 2542หลังจากประเทศกัมพูชาได้รับการรับรองเข้า เป็นสมาชิกกลุ่มประเทศ
อาเซียนเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมาจึงได้รับเชิญให้เข้าร่วม ด้วยก็เป็นอันว่าซีไรต์ปีนี้มี
ครบทั้ง 10 ประเทศในภูมิภาคนี้ส่วนคณะกรรมการดำเนินงาน ตั้งแต่ปี 2522 ศาสตราจารย์พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร ทรงรับเป็นประธาน ภายหลังพระองค์ท่าน
สิ้นชีพตักษัย ในปี 2524 หม่อนเจ้างามจิตร บุรฉัตรผู้เป็นชายา ได้ ดำรงตำแหน่งประธานสืบแทน
จนถึงอนิจกรรม ในปี 2526 พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิมลฉัตร พระกนิษฐาพระองค์เจ้าเปรม
บุรฉัตร ทรงรับเป็นองค์ประธานสืบต่อมาจนถึง พ.ศ. 2534 
             พ.ศ. 2535 - 2540 ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล เป็นประธาน จากนั้นในปี 2541 ม.ล.
พีระพงศ์ เกษมศรี เข้ารับช่วงเพียงปีเดียวก็ลาออก และ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เข้ารับตำแหน่งแทนในที่สุดรางวัลวรรณกรรม ซึ่งเป็นผลงานของผู้เขียนได้จัดส่งเข้าร่วม
ประกวดรางวัลซีไรต์ โดยมีคณะกรรมการในการคัดเลือกและตัดสินประกอบด้วยผู้แทนจาก
สมาคมภาษาและหนังสือพิมพ์ แห่งประเทศไทยฯ ผู้แทนจากสมาคมนักเขียนฯ และผู้ทรงคุณ
วุฒิทางวรรณกรรม โดยมีกติกาดังนี้ คือ

                1. ต้องเป็นงานที่ริเริ่มของผู้เขียนเอง ไม่ใช่แปลมาจากผู้อื่น
                2. ต้องเป็นงานที่สัมพันธ์กับชาติหรือภูมิภาคที่ผู้สร้างสรรค์มีภูมิลำเนา
                3. ต้องเป็นเรื่องแต่งหรือเรื่องสร้างสรรค์ในรูปแบบใดก็ได้อันหมายถึง นวนิยาย
บทละคร และกวีนิพนธ์
                4. ต้องเป็นงานที่ดีพร้อมในช่วงเวลา 5 ปี นับจากที่ทางการเลือกสรรเป็นเกณฑ์
                5. ผลงานเคยได้รับรางวัลใด ๆ ก็ได้ที่ใช้ในขอบเขตประเทศตน
                6. ผลงานจะเขียนเป็นภาษาใดก็ได้ที่ใช้ในขอบเขตประเทศตน
                7. ผู้สร้างสรรค์มีส่วนช่วยหรือช่วยพัฒนาวัฒธรรมและวรรณกรรมของประเทศตน
จากงานเขียน ของตน
                8. ผู้สร้างสรรค์จะมีเชื้อชาติศาสนา เพศใด ๆ ก็ได้ และยังมีชีวิตอยู่ขณะส่งงาน
เข้าประกวด 




ตะวันออกกลาง


            ใครๆ หลายคนมักสงสัยว่า ตะวันออกกลาง คือที่ไหน อยู่ตรงไหนบนแผนที่โลก ทำไมเราถึงได้ยินชื่อนี้ในข่าวทางโทรทัศน์หรือหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ  และมีความสำคัญอย่างไร แล้วทำไมถึงเรียกว่า ตะวันออกกลาง
            ตะวันออกกลาง คือ ดินแดนที่ตั้งอยู่ระหว่างทวีปยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างขว้างตั้งแต่ภาคเหนือของทวีปแอฟริกา ชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอเรเนียน หรือที่เรียกว่า พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ (Fertile Crescent) และบริเวณคาบสมุทรอาระเบีย รวมถึงดินแดนรอบอ่าวเปอร์เซีย อย่างไรก็ตามเรื่องอาณาเขตที่แน่นอน ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันจนถึงปัจจุบัน
            ภูมิภาคนี้เดิมถูกเรียกว่า ตะวันออกใกล้  หรือ Near East จากประเทศมหาอำนาจตะวันตก ด้วยเหตุที่เป็นดินแดนแรกที่พบก่อนในการเดินทางไปยังตะวันออก 
            ต่อมาในปี ค.ศ. 1902 ดินแดนแห่งนี้ได้ถูกเรียกว่า ตะวันออกกลาง หรือ Middle East เป็นครั้งแรกโดยนักยุทธศาสตร์ทหารเรือชาวอเมริกัน ชื่อ Captain Alfred Thayer Mahan ซึ่งเขียนลงในบทความ The Persian Gulf and International Relations โดยMahan มองว่าการเรียกดินแดนนี้ว่า Near East ไม่ครบถ้วนเพราะไม่ครอบคลุมดินแดนทั้งหมดและยังเป็นมุมมองที่ยึดติดกับความเป็นยุโรปและประเทศตะวันตก (Eurocentric) มากเกินไป การใช้คำว่า Middle East มีความเหมาะสมมากกว่า ประกอบกับเป็นดินแดนที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสองอารยธรรมและเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างสามทวีปอีกด้วย
            ความสำคัญของภูมิภาคตะวันออกกลางนั้นมีอยู่หลายมิติ ในด้านการเมือง ภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญเป็นที่ต้องการของจักรวรรดิและมหาอำนาจ และยังเป็นทั้งชนวนและสนามรบของสงครามและความขัดแย้งที่สำคัญหลายครั้ง เช่น สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 1 และ 2 และความขัดแย้งอิสราเอลและปาเลสไตน์ที่ยังยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน
            ในมิติด้านเศรษฐกิจ ภูมิภาคตะวันออกกลางมีความโดดเด่นทั้งที่ตั้งที่เป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญในการเดินทางติดต่อค้าขายระหว่างตะวันตกกับตะวันออก และที่สำคัญเป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ในทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่า คือ น้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยที่จำเป็นและสำคัญในระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน
            ในมิติด้านสังคม ภูมิภาคนี้เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมโบราณที่สำคัญ คือ อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรทิส หรืออารยธรรมเมโสโปเตเมีย และยังเป็นแหล่งกำเนิดศาสนาที่สำคัญของโลก คือ ศาสนาคริสต์ อิสลามและยูดาย  นอกจากนี้ชาวตะวันออกกลางส่วนใหญ่มีเชื้อสายอาหรับ หากไม่นับรวมชาวเปอร์เซียจากอิหร่าน ชาวเติร์กจากตุรกีและชาวยิวในอิสราเอล
            กระทรวงการต่างประเทศได้ให้ความสำคัญกับภูมิภาคนี้โดยตั้งขึ้นเป็นกองตะวันออกกลาง ภายใต้การดูแลของกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา ซึ่งแบ่งภูมิภาคตะวันออกกลางโดยใช้ลักษณะทางภูมิศาสตร์ผสมกับความเชื่อมโยงของความสัมพันธ์และประเด็นปัญหาต่างๆ โดยดูแลประเทศ กาตาร์ คูเวต จอร์แดน ซาอุดีอาระเบีย ซีเรีย ตูนิเซีย บาห์เรน มอริเตเนีย โมร็อกโก เยเมน ลิเบีย เลบานอน อิรัก อิหร่าน อิสราเอล อียิปต์ แอลจีเรีย โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  และปาเลสไตน์



ความเป็นมาของรางวัลโนเบล (Nobel prize)

อัลเฟร็ด โนเบล (Alfred Nobel) นักเคมีชาวสวีเดน ผู้ประดิษฐ์ชุดดินระเบิด
ที่เรียกว่า ไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerine) หรือระเบิดไดนาไมต์ รู้สึกเสียใจ
ที่ระเบิดของเขาถูกนำไปใช้ในการคร่าชีวิตมนุษย์ เมื่อเขาเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1896
เขาระบุในพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติให้นำไปตั้งมูลนิธิโนเบล เพื่อเป็นการสนับสนุน และมอบรางวัลให้แก่บุคคลที่มีผลงานวิจัยหรือสิ่งประดิษฐ์ที่โดดเด่น หรือสร้างคุณ
ประโยชน์ให้กับมนุษยชาติ โนเบลแสดงเจตนารมณ์ไว้ในพินัยกรรมของเขา
อย่างชัดแจ้งว่า "...It is my express wish that in awarding the prizes no consideration be given to the nationality of the candidates, but that the most worthy shall receive the prize, whether he be Scandinavian or not. ..." ซึ่งหมายถึง ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับรางวัลนี้ต้องเป็น "บุคคลผู้อำนวยคุณประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ" โดยไม่จำกัดว่าบุคคลผู้นั้น
จะมีเชื้อชาติไหน พูดภาษาใด
พิธีมอบรางวัลโนเบลจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันที่ 10 ธันวาคม โดยจัดขึ้น
ครั้งแรกหลังจากโนเบลเสียชีวิตไปได้ 5 ปี (ค.ศ. 1901) มี 5 สาขา คือ คือ ฟิสิกส์
(physics) เคมี (chemistry) การแพทย์และสรีรวิทยา (physiology or
medicine) วรรณกรรม (literature) สันติภาพ (peace) และในปี ค.ศ. 1969
จึงเพิ่มรางวัลอีก 1 สาขา คือสาขาเศรษฐศาสตร์ (economic)

ผู้พระราชทานรางวัลโนเบลคือ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรสวีเดน
แม้ว่าบางปีรางวัลบางสาขาอาจไม่มีการตัดสิน แต่มีข้อกำหนดว่าระยะเวลา
ของการเว้นการมอบรางวัลต้องไม่เกิน 5 ปี รางวัลที่มอบให้ประกอบด้วย เหรียญทอง
ที่ด้านหน้าสลักเป็นรูปหน้าของอัลเฟร็ด โนเบล พร้อมใบประกาศเกียรติคุณและเงินสด
รางวัลโนเบลถือ เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่และทรงเกียรติของชาวโลก ถือเป็นสิ่งที่เชิดชูเกียรติ บ่งบอกถึงความเก่งกาจ ยอดเยี่ยม และเป็นผู้อุทิศตนเพื่อความเจริญก้าวหน้า ความสงบและสันติของสังคมโลก
ภาพ Alfred Nobel จากหนังสือ NOBEL PRIZE 100 ผู้พิชิตรางวัลโนเบล
ผลรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปีนี้ ปรากฏว่า สหภาพยุโรปคว้ารางวัลไปครองผลรางวัลโนเบล ประกาศเมื่อเวลา 16.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย ที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ โดยปีนี้สหภาพยุโรป หรืออียู คว้ารางวัล โดยคณะกรรมการโนเบลให้เหตุผลถึงการตัดสินครั้งนี้เป็นเพราะบทบาทการรวมตัวของยุโรป แม้ว่าขณะนี้ยูโรโซนจะเผชิญกับวิกฤตหนี้สินก็ตาม ซึ่งเงินรางวัลที่จะมอบให้กับผู้ที่ได้รางวัลมีมูลค่า 1,200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนพิธีมอบรางวัลจะมีขึ้นในวันที่ 10 ธันวาคมนี้

อียู ก่อตั้งเมื่อปี 1957 ตามสนธิสัญญาโรม เริ่มต้นมีสมาชิกเพียง 6 ประเทศ และขยายมาเป็น 27 ประเทศในปัจจุบัน รวมถึงประเทศในยุโรปตะวันออกที่เข้าร่วมกลุ่มหลังสงครามเย็น

สำหรับผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2012 มีทั้งหมด 231 ราย ซึ่งรวมถึง 43 องค์กร

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

ศรคีรี ศรีประจวบ - ตำนานลูกคอ 7 ชั้น
สงอม ทองประสงค์ หรือ ศรคีรี ศรีประจวบ  เกิดวันที่ 4 มีนาคม 2487 ที่บ้านเลขที่ 13 บ้านหนองอ้อ ต. บางกระบือ อ.บางคณที จ.สมุทรสงคราม มีชื่อเล่นว่าน้อย เป็นบุตรนายมั่ง นางเชื้อ ทองประสงค์ ครอบครัวมีอาชีพทำน้ำตาลปี๊บมีพี่น้อง 6 คน เขาเป็นคนสุดท้อง เรียนจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนพรหมสวัสดิ์สาธร 




หลังจบการศึกษาก็มาช่วยครอบครัวปาดตาล (มะพร้าว) โดยระหว่างที่ พักเหนื่อยอยู่บนยอดมะพร้าวก็มักจะร้องเพลงอยู่บนนั้น จนหายเหนื่อยแล้วค่อยทำงานต่อ เพลงที่ชอบร้องก็มี "เสือสำนึกบาป" , "ชายสามโบสถ์" เพราะตอนนั้นเพลงของคำรณ สัมบุณนานนท์ กำลังฮิต ตอนนั้นเขาอยากเป็นนักร้องใจแทบขาด เวลาวงดนตรีของครู พยงค์ มุกดา มาแสดงใกล้บ้าน เขาก็ไปสมัครร้องเพลง แต่พอร้องให้ครูพยงค์ฟัง แกก็บอกว่าให้ไปหัดร้องมาใหม่ เขาพยายามอยู่ 2 ครั้ง ครูพยงค์ก็บอกว่ายังไม่ดี เขาเลยท้อและเลิกไปเอง จากนั้นพออายุ 20 ปี บวชได้พรรษาหนึ่งก็สึก ตอนนั้นพ่อแม่เขาไปซื้อไร่ทำสัปปะรดที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เขาก็เลย ย้ายไปที่นั่น

แต่ประวัติอีกกระแสบอก ว่า เพราะรักครั้งแรกเป็นพิษขณะที่บวช เมื่อว่าที่พ่อตาให้ลูกสาวแต่งงานกับชายอื่น เขาจึงเตลิดหนีออกจากบ้านมาอยู่กับพี่ชายที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยพี่ชายแบ่งไร่สับปะรดให้ทำ

จะอย่าง ไรก็ตาม ที่นี่ เขาได้เริ่มร้องเพลงอีกครั้ง โดยเข้าประกวดร้องเพลงตามงานวัด และคว้ารางวัลมากมาย จนเพื่อนชื่อ พยงค์ วงศ์สัมพันธ์ ชวนให้ร่วมวงที่เช่าเครื่องดนตรี และจ้างครูดนตรีจากที่ค่าย "ธนะรัชต์" มาสอน เพื่อสร้างความสนุกในหมู่บ้าน ต่อมาเมื่อคนรู้จักมากขึ้น จึงตั้งวง "รวมดาววัยรุ่น" ที่ต่อ มาเปลี่ยนชื่อเป็น "รวมดาวเมืองปราณ" รับงานแสดงทั่วไปตามบ้านที่ขายสับปะรดได้โดยไม่คิดเงินทอง ตอนนั้นศรคีรีร้องเพลงแบบรำวง และใช้ชื่อ "พนมน้อย" เพราะร้องเพลงของ พนม นพพร และศักดิ์ชาย วันชัย ต่อมาได้นำวงมาแสดงในงานปีใหม่ของจังหวัด "ประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ฟัง เสียง และเห็นหน้าก็รักใคร่ชอบพอ จึงเปลี่ยนชื่อให้เป็น ศรคีรี ศรีประจวบ

หลังจากนั้น วิจิตร ฤกษ์ศิลป์วิทยา คนอยู่ใกล้บ้านกันให้การสนับสนุนเพื่อสร้างวงดนตรีแข็งแรงขึ้นและพากันเข้า กรุงเทพฯ เพื่อเช่าเวลารายการวิทยุยานเกราะจาก จำรัส วิภาตะวัธ พวกเขาวิ่งขึ้นล่องกรุงเทพฯ - ประจวบฯอยู่บ่อยๆ และก็ได้พบกับ เพลิน พนาวัลย์ ที่พาเขาไปพบ ครูไพบูลย์ บุตรขัน ที่บ้าน ตามคำขอร้องของศรคีรี เพื่อขอเพลงมาร้อง

ภูพาน เพชรปฐมพร นักร้องที่ใกล้ชิดกับศรคีรีในวง “ รวมดาววัยรุ่น “ เล่าว่า ตอนไปขอเพลง ตอนนั้นครูมีนักร้องที่ดังมากคือ รุ่งเพชร แหลมสิงห์ เป็นลูกศิษย์เอกอยู่ ศรคีรีก็ร้องเพลงแนวเดียวกันกับรุ่งเพชร ครูไพบูลย์ก็จึงไม่ให้เพลง เขาจึงต้องเทียวไปเทียวมาอยู่หลายครั้ง จนครูใจอ่อน ประกอบกับตอนนั้นครูไพบูลย์ ผิดใจกับรุ่งเพชรด้วย

เพลงแรกที่ได้มาคือ น้ำท่วม ตอนที่บันทึกเพลงนี้ น้ำเกิดท่วม จ. ประจวบคีรีขันธ์พอดี เสียหายอย่างมาก สับปะรดถูกน้ำท่วมทั้งหมด นอกจากนั้น ครูก็ยังให้เพลงมาอีก 3 เพลง คือ"บุพเพสันนิวาส" , "แม่ค้าตาคม" , "วาสนาพี่น้อย" สำหรับการบันทึกเสียงครั้งแรกนั้น ชุดแรกมีทั้งหมด 6 เพลง คือ น้ำท่วม, บุพเพสันนิวาส, วาสนาพี่น้อย, แม่ค้าตาคม, พอหรือยัง และบางช้าง งานนี้ ศรคีรี เปลี่ยนสภาพจากนักร้องเพลง รำวง มาเป็น นักร้องเพลงหวานโดยสมบูรณ์

หลังจากเพลงเริ่มเป็นที่รู้จัก ศรคีรีลงมาอยู่กรุงเทพฯ แต่ยังไม่นำวงดนตรีมาด้วย โดยจะนำมาก็แต่เมื่อมีงาน ครั้งแรกในกรุงเทพฯ เขาเปิดการแสดงงานศพน้องชายครูไพบูลย์ที่วัด หลักสี่ บางเขน จากนั้นวงก็เริ่มรับงานในกรุงเทพฯ และเดินสายทั่วประเทศ ซึ่งในการออกเดินสายใต้เป็นครั้ง แรก วงประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จัดว่าเป็นวงที่มีค่าตัวแพงวงหนึ่ง ช่วงนั้นศรคีรีได้มีโอกาสแสดงหนังของ ครูรังสี ทัศนพยัคฆ์ เรื่อง "มนต์รักจากใจ" ด้วย

ต่อมาศรคีรีมีชื่อเข้าไปพัวพันคดีสังหารคนในวงการด้วยกัน ชื่อเสียงจึงตกลงไปบ้าง แต่ในที่สุดก็พิสูจน์ตัวเองได้ และกลับมาอีกครั้งในเพลง "ตะวันรอนที่หนองหาร" "อยากรู้ใจเธอ" รักแล้งเดือนห้า" "ลานรักลั่นทม" และ "คิดถึงพี่ไหม" ซึ่งเพลงหลังนี้ ขณะบันทึกเสียงศรคีรีร้องโดยปิดไฟมืด ซึ่งเขาไม่เคยทำมาก่อน เพลงนี้แต่งโดย พยงค์ มุกดา โดย ทิว สุโขทัย เคยร้องไว้เป็นคนแรกและเสียชีวิตไปหลังจากที่ร้องไว้ไม่นาน และเพลงนี้ก็เป็นเพลงสุดท้ายที่ศรคีรีได้บันทึกเสียงไว้ด้วย

ก่อนเสียชีวิต ศรคีรีเคยไปทำการแสดงที่โรงหนังเอกมัยราม่า มีคนนำเอาพวงมาลัยดอกไม้สด แต่คาดด้วยผ้าดำแบบที่ทำไว้สำหรับคนตายมอบให้บนเวทีขณะร้องเพลง ศรคีรีรับไว้ด้วยความเกรงใจ เมื่อกลับเข้าหลังเวที ศรคีรีสั่งเลิกการแสดงคืนนั้นทันทีทั้งที่ร้องเพลงได้เพียง 5 เพลง

ด้วยวัยแค่ 32 ปี ศรคีรี ศรีประจวบ จากโลกนี้ไปเมื่อ 30 มกราคม 2515 ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ประมาณ 03.00 - 05.00 น.บริเวณริมถนนสายเอเชีย อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร ขณะเดินทางกลับจากการแสดงที่วัดหน้าพระธาตุ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์เข้ากรุงเทพฯ เพื่อเปิดทำการแสดงที่วัดภาษี เอกมัย ในตอนค่ำ คาดว่าคนขับรถของศรคีรีเกิดง่วงนอน จึงจอดรถเก๋งโตโยต้าคราวน์ข้างทางเพื่อพักสักงีบ แต่ปรากฏว่ารถบรรทุกไม้ วิ่งมาด้วยความเร็วสูงประกอบกับบริเวณนั้นเป็นสะพานสูง เมื่อรถบรรทุกไม้วิ่งมาด้วยความเร็ว เมื่อถึงสะพานก็ทำให้รถกระโดดเสียหลัก ขึ้นไปทับรถของศรคีรี ทำให้เขาเสียชีวิตคาที่

หลังแสดงวันนั้น ลูกวงได้ออกเดินทางมายังจุดนัดพบที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งก่อน แต่หลังจากที่ลูกวงรออยู่นาน หัวหน้าวงยังเดินทางมาไม่ถึง จึงออกเดินทางต่อ แต่วิ่งไปสักระยะหนึ่ง ก็มีรถพลเมืองดีวิ่งไล่ตามและเรียกให้จอด เพื่อแจ้งข่าวเรื่องการประสบอุบัติเหตุของรถของศรคีรี หลังพบใบปลิวการแสดงปลิวออกจากรถศรคีรีเกลื่อนกลาด หลังรถบัสวิ่งกลับไปก็พบศพดังกล่าว ข้อมูลบางแหล่งบอกว่า ศรคีรี เสียชีวิตประ มาณ 8.00 น.ซึ่งเวลาดังกล่าวน่าจะเป็นเวลาพบศพมากกว่า

ก่อนเสียชีวิต ศรคีรี สมรสแล้ว โดยมีบุตรธิดารวม 3 คน เป็นชาย 2 หญิง 1 ชื่อ สมศักดิ์ ,ชนัญญา และสันติ


ครูไพบูลย์ บุตรขัน เคยเขียนไว้อาลัยการจากไปของศรคีรีว่า "แด่สุดรัก เธอเกิดมาเป็นผู้กล่อมโลก ฉันเป็นผู้ถ่ายทอดอารมณ์ บัดนี้เธอจากโลกไปแล้วเหลือเพียงเสียงเพลง ศรคีรี ศรีประจวบ ฉันเสียดาย เสียดายจริงๆ เพราะเธอควรจะอยู่กล่อมโลกให้นานกว่านี้ "

เพลง ที่เอามาให้ฟังวันนี้มีชื่อว่า " พอหรือยัง" ประพันธ์คำร้อง ทำนองโดยครูชลธี ธารทอง คนเมืองชลเช่นเดียวกับผม ที่ต่อมาได้รับสมญาว่า " เทวดาเพลง" เพราะในยุครุ่งเรือง ไม่ว่าแต่งเพลงอะไร ดังเกือบทั้งหมด สำหรับเพลงนี้ มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจมาก แทบจะนำไปสร้างเป็นนิยายชั้นดีได้เลยทีเดียว เพราะมีทั้งการชิงรักหักสวาท โชคชะตาชีวิต การคดโกง การหักหลังเพื่อน แต่สุดท้ายก็จบลงแบบ แฮปปี้เอนดิ้ง

ชลธี ธารทอง เข้าสู่วงการลูกทุ่งเพราะร้องเพลงเพราะ และชอบร้องเพลง ไปๆมาๆเขาก็ได้มาเป็นนักร้องประจำวง" รวมดาวกระจาย " ของครูสำเนียง ม่วงทอง (ผู้ประพันธ์เพลง " แอบรักแอบคิดถึง" ที่ต่าย อรทัย นำกลับมาร้องใหม่และกำลังดังอยู่ในปัจจุบัน) ชลธี ธารทองมีโอกาสบันทึกแผ่นเสียงอยู่ 4 เพลง แต่ไม่ดังสักเพลง แต่ระหว่างที่เป็นนักร้องอยู่นั้น เขาก็หัดการแต่งเพลงไปด้วย โดยสอบถามเอากับหัวหน้าวงอย่างครูสำเนียง

ระหว่างที่อยู่กับวง ชลธี ธารทอง ไปปักใจสมัครรักใคร่กับนักร้องสาวร่วมวงอีกคน ซึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เธอก็ดูเหมือนว่าจะมีใจให้กับเขาเช่นกัน ทำให้หนุ่มชลธีดีอกดีใจอยู่ไม่น้อย แต่หลังจากที่พบความจริงว่า จริงๆแล้วเธอหลอกเขา เพราะเธอแอบไปควงกับนักร้องในวงอีกคน ชลธีเสียใจอย่างมาก และแอบไปนั่งร่ำสุราบานเคล้าน้ำตา พร้อมกับแต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่งที่พูดถึงความเจ็บช้ำในครั้งนี้ ซึ่งเพลงนั้นก็คือเพลง "พอหรือยัง"ชลธี ธารทอง



เมื่อ แต่งเสร็จ และเหล้าหมด เขาก็กลับเข้าห้องพักในโรงแรม และได้ร้องเพลงนี้ระบายความเสียใจ เสียงเพลงของเขาก็ไปแทงใจสาวเจ้าที่พักอยู่ในห้องข้าง เธอจึงนำเรื่องไปฟ้องครูสำเนียงเรื่องที่ชลธี ธารทอง แต่งเพลงด่าทอเธอ แต่ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด

ต่อมา นักร้องร่วมวงอีกคนหนึ่งเกิดมาได้ยินชลธี ธารทอง นำเพลงนี้มาร้องเล่นในยามว่าง จึงขอเพลงนี้เพื่อนำมาร้องที่หน้าเวที ซึ่งเขาก็อนุญาต และเพื่อนคนนี้ก็เคยได้รับรางวัลจากแฟนเพลงที่มาชมการแสดงจากการขับร้องเพลง " พอหรือยัง " ด้วย

ต่อมา นักร้องคนดังกล่าวออกไปอยู่กับวงดนตรีของศรคีรี ศรีประจวบ และเมื่อศรคีรี ซึ่งกำลังจะเริ่มดัง จากการปลุกปั้นของครูไพบูลย์ บุตรขัน ได้ฟังเพลงนี้ ก็เกิดชอบใจอยากจะนำมาร้องบันทึกเสียงบ้าง เมื่อสอบถามว่าเป็นผลงานการแต่ง ของใคร นักร้องคนดังกล่าวก็โกหกว่าเขาเป็นคนแต่งเอง

ศรคีรี ศรีประจวบ นำเพลงนี้มาบันทึกแผ่นเสียง โดยใช้ชื่อตัวเองว่าเป็นคนแต่ง เนื่องจากมีคนแนะนำว่า เขาน่าจะสร้างเครดิตให้กับตัวเอง เพราะตัวคนแต่งจริง (ซึ่งก็คือเจ้านักร้องคนนั้น) ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร และก็ไม่น่าจะมีชื่อเสียงอะไรอีกในอนาคต

แต่หลังจากที่เพลงนี้ดังขึ้น ชลธีก็จึงได้รู้ว่าเพลงของเขาถูกขโมย และไปร้องเรียนเอากับศรคีรี หลังจากที่เรียกเอาฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาสอบถาม เขาก็จึงได้รู้ความจริง จึงมีการขอโทษขอโพย และตอบแทนกันตามธรรมเนียม ซึ่งต่อมา ชลธีและศรคีรี ก็กลายเป็นเพื่อนซี้กันในที่สุด

นี่คือเพลงๆแรกของชลธี ธารทอง ที่ถูกนำไปบันทึกเสียง แต่มันก็ทำให้เขาต้องเริ่มกลับมานั่งคิดว่า จริงๆแล้ว เขาเหมาะสมกับงานไหนแน่ ระหว่างนักร้อง ที่พยายามมาหลายปี แต่กลับไม่ดัง กับนักแต่งเพลงที่ถูกนำไปบันทึกเสียงครั้งแรกและดังทันที

แต่ ถึงเพลงนี้จะดัง ชีวิตของชลธี กลับไม่ได้ดีขึ้น เพราะต้องไม่ลืมว่า บนแผ่นเสียงระบุว่าเพลงนี้เป็นผลงานการแต่งของศรคีรี และบางคนก็พาลคิดไปว่า มันเป็นผลงานของครูไพบูลย์ บุตรขัน ครูเพลงคู่บุญของศรคีรี เครดิตของเขาจึงไม่มี เพลงก็ขายไม่ค่อยได้ เป็นนักร้องก็ไม่ดัง แต่ขณะที่ชีวิตกำลังตกอับอย่างสุดๆอยู่นั้น เขาก็ได้เจอกับศรคีรีอีกครั้ง และศรคีรี ออกปากให้เขาแต่งเพลงมาให้อีก

หลังจากที่ชลธีบรรจงแต่งให้ สองเพลง และหวังเต็มที่ที่จะได้รับค่าแต่งเพลงก้อนงามๆอีกสักครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะนำไปเพลงไปเสนอ เขาก็ได้รับข่าวเศร้านั่นก็คือศรคีรี ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ชลธีที่ผิดหวังกับชีวิตในวงการเพลงของเขามาก ตัดสินใจทันทีว่าจะกลับไปใช้ชีวิตเป็นชาวไร่ชาวนาที่บ้านนอก จึงนำ 2 เพลงนี้ไปให้กับเด็กที่ทำงานอยู่ปั้มน้ำมันคนหนึ่งและอยากเป็นนักร้องแบบไม่ คิดค่าเพลง
สองเพลงนี้คือเพลง " ลูกสาวผู้การ " และ" แหม่มปลาร้า " และเจ้าหนุ่มคนนั้น ต่อมามีชื่อเสียงระเบิดระเบ้อทั่วฟ้าเมืองไทย ทุกคนรู้จักเขาในชื่อ " สายัณห์ สัญญา "


เรียบเรียงจากหนังสือ " เทวดาเพลง " ของชลธี ธารทอง


เพลง พอหรือยัง


คำร้อง/ทำนอง ชลธี ธารทอง
ขับร้อง ศรคีรี ศรีประจวบ


พอทีนะคุณ การุณผู้ชายเถิดหนา
อย่าคิดเอาความโสภา พร่าหัวใจผู้ชาย
คุณสวยคุณเด่น ใคร เห็นเป็นต้องงมงาย
อดรัก คุณนั้นไม่ได้ ยอมตายแทบ เบื้องบาทคุณ
คุณฆ่าผู้ชาย ให้ตายมาแล้วมากล้น
ไม่พ้นไปได้สักคน หน้ามลช่างไม่การุณ
อีกซักเท่าไหร่ ถึงจะพอใจของคุณ
ผู้ชาย ทั้งโลกคงวุ่น
เสน่ห์ของ คุณนั้นแรงเหลือเกิน
หรือ ถือว่าสวย หรือถือว่ารวยสูง ด้วยยศศักดิ์
วันหนึ่งถ้า ปีกหงส์หัก
แล้วคุณจะสิ้น คนสรรเสริญ
สิ้นสาวคราวใด ใครๆเขาก็คงเมิน
แล้วคุณจะไร้ดินเดิน
มัวหลงเพลินแต่คำป้อยอ
คุณคงภูมิใจ ที่ใครพากันรุมรัก
แต่แล้วก็ต้องอกหัก เพราะหลงรักคุณนั่นหนอ
คุณ คิดแจกจ่าย หัวใจไม่รู้จักพอ
ผลกรรมที่คุณนั้นก่อ
สักวันเถิดหนอคุณจะร้องไห้



 
 






ขวัญจิต ศรีประจันต์


แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ มีนามจริงว่า นางเกลียว เสร็จกิจ เกิดเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๙๐ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นผู้ที่มีความสนใจทางด้านการร้องเพลงพื้นบ้านมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๕ ขณะที่อายุประมาณ ๑๕ ปี โดยมีความชื่นชม และเฝ้าติดตามการขับร้องเพลงของแม่บัวผัน จันทร์ศรี (ศิลปินแห่งชาติ) และ ครูไสว วงษ์งาม อย่างใกล้ชิดและในที่สุดก็ได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อฝึกฝนการขับร้องเพลงกับครูเพลงทั้ง ๒ ท่าน ด้วยความเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในทางการขับร้อง กอปรด้วยความมีไหวพริบปฏิภาณ และน้ำเสียงอันเป็นเลิศ อีกทั้งมีความมานะพยายามไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ทำให้แม่ขวัญจิตสามารถเรียนรู้วิธีการขับร้องเพลงพื้นบ้านประเภทต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพลงอีแซว จากแม่บัวผัน และเพลงแนวผู้ชายจากครูไสวได้เป็นอย่างดีภายในระยะเวลาไม่นาน

แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ไม่เพียงมีความสามารถในด้านการขับร้องเพลงพื้นบ้านเท่านั้น หากท่านยังมีความสามารถในการแต่งเพลงอีแซวได้อย่างเป็นเลิศอีกด้วย เนื่องจากท่านมีความรักในด้านการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วรรณคดีไทยเป็นพิเศษ จึงสามารถจดจำลีลาการประพันธ์และเค้าโครงเรื่องเหล่านั้นมาประพันธ์เป็นเพลงอีแซวได้อย่างไพเราะงดงาม

แม่ ขวัญจิตได้ออกตระเวนเล่นเพลงอีแซวเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์และหาความรู้กับ ครูเพลงพื้นบ้านอีกหลายท่านทำให้ความสามารถของท่านพัฒนาขึ้นโดยลำดับจนเริ่ม มีชื่อเสียง จากนั้นในช่วงประมาณปี ๒๕๑๐ ก็ได้หันไปสนใจการขับร้องเพลงลูกทุ่ง โดยได้เข้าเป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งในวงดนตรีของครูจำรัส สุวคนธ์ และวงดนตรีของ ครูไวพจน์ เพชรสุพรรณ ตามลำดับจนมีชื่อเสียงโด่งดัง เพลงลูกทุ่งที่ร้องอัดแผ่นเสียงเป็นเพลงแรกคือ เพลงเบื่อสมบัติ ตามด้วยเพลงดังอื่นๆ เช่น ลาน้องไปเวียดนาม ขวัญใจคนจน แม่ครัวตัวอย่าง ฯลฯ จากนั้นก็ได้แต่งเพลงเองอันได้แก่เพลง กับข้าวเพชฌฆาต น้ำตาดอกคำใต้ สาวสุพรรณ เป็นต้น เมื่อประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางแล้ว ก็ได้จัดตั้งวงดนตรีลูกทุ่งของตนเองขึ้น โดยใช้ชื่อว่าวงขวัญจิต ศรีประจันต์ ซึ่งท่านได้นำเอาระบบแสง สี เสียง อันทันสมัยน่าตื่นตาตื่นใจมาใช้ในการแสดง อีกทั้งได้ประยุกต์เพลงอีแซว มาผสมผสานเข้ากับเพลงลูกทุ่งได้อย่างกลมกลืมทำให้ได้รับความนิยมชมชอบจากผู้ ชมเป็นอย่างยิ่ง

แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ได้ใช้ชีวิตอยู่ในวงการเพลงลูกทุ่งจนกระทั่งถึงปี ๒๕๑๖ จึงได้ยุบวงแล้วหันกลับไปฟื้นฟูเพลงอีกแซวอีกครั้ง โดยในการกลับมาครั้งนั้น ท่านได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเผยแพร่ศิลปะพื้นบ้านแขนงนี้อย่างจริงจัง โดยนอกจากการแสดงแล้ว ท่านยังอุทิศตนในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยได้ไปบรรยายและสาธิตการแสดงเพลงพื้นบ้านในสถานศึกษาต่างๆ ตั้งแต่ระดับโรงเรียนจนถึงมหาวิทยาลัย และยังคงปฏิบัติเช่นนี้สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ผลงานการขับร้องเพลงด้านต่างๆ ของแม่ขวัญจิต ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมีอีกมากมาย แบ่งออกเป็นเพลงหลายประเภทดังนี้

ประเภทเพลงลูกทุ่ง ได้แก่ เพลงเศรษฐีสุพรรณ ก็นั่นนะซิ วุ้ยว้าย นางครวญ อ้อมอก เจ้าพระยา อายบาปอายบุญ ปิดทองพระ แห่ผ้าป่า แฟนหนังเร่ เสียงครวญจากชาวประชา ชวนน้องกลับอีสาน กับข้าวเพชฌฆาต ฯลฯ

ประเภทเพลงพื้นบ้าน ได้แก่ เพลงชุดปัญหาหัวใจ อานิสงส์ทอดกฐิน ประเพณีไทย น้ำตาหมอนวด ประวัติเมืองสุพรรณ อีแซวประยุกต์ พระมาลัยโปรดนรก พระคุณพ่อแม่ อานิสงส์บรรพชา ประเพณีแต่งงาน เต้นกำรำเคียวเกี่ยวมดตะนอย ฯลฯ

ประเภทเพลงแหล่ ได้แก่ แหล่มัทรีเดินดง แหล่ประวัตินาค แหล่กัญหาชาลี แหล่ทำขวัญนาค แหล่ถาม-ตอบพิธีแต่งขันหมาก แหล่ถาม-ตอบเรื่องการแต่งาน ฯลฯ

จากความสามารถและความทุ่มเททั้งกายและใจในวิชาชีพ ทำให้แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ได้รับรางวัลและเกียรติคุณต่างๆ หลายประการ ได้แก่

- ได้รับการคัดเลือกเป็นสื่อพื้นบ้านดีเด่น ของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคกลางและสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพย์ติด เมื่อปี ๒๕๓๓

- ได้รับพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติ ศิลปินเพลงลูกทุ่งดีเด่น จากงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทยภาค ๒ ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เมื่อ ปี ๒๕๓๔

- ได้รับโล่เกียรติคุณ ในฐานะนักร้องลูกทุ่งดีเด่น ของจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ ปี ๒๕๓๖ เป็นต้น

นอกจากจะเป็นศิลปินเพลงพื้นบ้านและเพลงลูกทุ่งที่มีความสามารถสูงยิ่งแล้ว แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ยังเป็นผู้ที่มีจิตใจเปี่ยมด้วยคุณธรรมอย่างน่าสรรเสริญ ตลอดชีวิตของการเป็นนักร้องเพลงพื้นบ้านและเพลงลูกทุ่ง ท่านได้อุทิศตนช่วยเหลืองานบุญงานกุศลต่างๆ มิเคยว่างเว้นทั้งงานราษฎร์ และงานหลวง อาทิ การช่วยรณรงค์เพื่อปราบปรามยาเสพย์ติด การรณรงค์ในเรื่องปัญหาโรคเอดส์ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาต่างๆ และการรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น จากผลงานและเกียรติคุณดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จึงประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน-อีแซว) เมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๓๙

จักรกฤษณ์และผมเดินทางไปยังจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นที่รวมแห่งศิลปินแห่งชาติหลายท่านอีกครั้ง เพื่อถ่ายภาพแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ หลังจากที่เคยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปีก่อน แต่ไม่พบท่าน เพราะในครั้งนั้นผมได้นัดอาไว้ล่วงหน้า

ขณะที่ไปถึงภาพแรกที่ผมมองเห็นก็คือมีเด็กนักเรียนเล็กๆ ทั้งหญิงชายกลุ่มหนึ่งนั่งล้อมวงโดยมีแม่ขวัญจิตนั่งอยู่ตรงกลางที่ลานใต้ถุนบ้านทรงไทยเพื่อสอนการขับร้องเพลงอีแซวอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อเห็นผมเดินเข้ามา แม่ขวัญจิตก็ได้อนุญาตให้ผมเดินดูบริเวณโดยรอบบ้านทั้งด้านนอกและด้านในเพื่อเลือกมุมถ่ายภาพได้ตามความพอใจ ในตอนแรก ผมได้เลือกมุมหนึ่งที่ชั้นบนของบ้านที่มีฝาไม้ประกบเป็นฉากหลังเพื่อถ่ายภาพ โดยจัดไฟที่เตรียมมาตามปกติ และได้ถ่ายภาพชุดแรกที่จุดนี้ แต่ก็ยังรู้สึกไม่ถูกใจนักกับมุมดังกล่าวเนื่องจากดูทึบทึม และไม่มีสิ่งประกอบที่น่าสนใจเท่าที่ควร ดังนั้น เมื่อเสร็จแล้วผมจึงขออนุญาตถ่ายภาพแม่ขวัญจิตอีกชุดหนึ่งในสวนอันร่มรื่นของท่าน โดยอาศัยเพียงแสงธรรมชาติเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างภาพทั้ง ๒ ชุดแล้ว ภาพในสวนดูจะให้ความรู้สึกที่สดชื่นกว่า แลดูเย็นตาและน่าสบายใจ ผมจึงตัดสินใจเลือกภาพดังกล่าวมาเป็นภาพหลักของฉบับนี้ครับ

แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ นับเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ที่มีทั้งความสามารถในด้านเพลงพื้นบ้านอย่างลึกซึ้ง และเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมผู้ได้บำเพ็ญประโยชน์เป็นอเนกประการต่อสังคม นับเป็นศิลปินที่ชาวสุพรรณบุรีภาคภูมิใจที่สุดท่านหนึ่ง





 ศิลปินแห่งชาติสิ้นแล้ว ด้วยโรคมะเร็งตับ

หวังเต๊ะ มีชื่อจริงคือ หวังดี นิมา เกิดเดือนมีนาคม พ.ศ. 2468 ที่จังหวัดปทุมธานี เป็นชาวมุสลิม เป็นศิลปินเพลงพื้นบ้านที่มีความเชี่ยวชาญเพลงลำตัดเป็นพิเศษ ได้ตั้งคณะลำตัดชื่อ “คณะหวังเต๊ะ” รับงานแสดงมานานกว่า 40 ปี จนชื่อ หวังเต๊ะ กลายเป็นสัญลักษณ์ของลำตัด เป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์และสืบทอดการแสดงพื้นบ้านได้อย่างน่าภาคภูมิใจยิ่ง ท่านมีความสามารถมีปฏิภาณไหวพริบ มีคารมคมคาย สามารถด้นกลอนสดและแต่งคำร้องได้อย่างยอดเยี่ยมโดยจะเน้นในด้านสุนทรียภาพ ความไพเราะงดงามทางภาษา ท่านใช้ความสามารถและศิลปะการแสดงประกอบสัมมาชีพอย่างซื่อสัตย์มาโดยตลอด ท่านมีความมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์ ถ่ายทอด เผยแพร่ศิลปะการแสดงลำตัดแก่อนุชนรุ่นหลัง เพื่อเป็นการสืบสานมรดกไทยไว้เป็นเอกลักษณ์ของชาติสืบไป หวังเต๊ะได้รับการเชิดชูเกียรติเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน) ประจำปี 2531

ในบั้นปลายชีวิต ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จนกระทั่งถึงวันที่ 26 มิถุนายนพ.ศ. 2555 ก็ถึงแก่กรรม สิริอายุได้ 87 ปี



รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเวลา 03.00 น.ที่ผ่านมา นายหวังดี นิมา หรือ “หวังเต๊ะ” ศิลปินแห่งชาติผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการร้องเพลงลำตัด เสียชีวิตแล้ว ด้วยวัย 87 ปี หลังจากเข้ารับการรักษาตัวด้วยอาการป่วยโรคมะเร็งตับ ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โดยทางญาติเตรียมนำร่างไปประกอบพิธีทางศาสนาที่มัสยิดนิ๊มาติ๊น อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี โดยจะมีพิธีฝังศพ ในเวลา 15.00 น.

หวังเต๊ะ เกิดเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2468 ได้ตั้งคณะลำตัดชื่อ “คณะหวังเต๊ะ” รับงานแสดงมานานกว่า 40 ปี จนชื่อ หวังเต๊ะ กลายเป็นสัญลักษณ์ของลำตัด เป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์และสืบทอดการแสดงพื้นบ้าน โด่งดังมีชื่อเสียงจนกระทั่งคนทั่วไปนับถือว่า

“หวังเต๊ะ” เป็นสัญลักษณ์ของเพลงลำตัดประเทศไทย และได้รับการเชิดชูเกียรติเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน) ประจำปี 2531



“หวังเต๊ะ” วัย87ปี ลำตัดชื่อดัง ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง ประเภทเพลงพื้นบ้าน เสียชีวิตแล้ว วันนี้ (26 มิ.ย.) เมื่อเวลา 03.00 น. ด้วยโรคมะเร็งตับ ญาติเตรียมนำไปบำเพ็ญพิธีทางศาสนาอิสลามที่มัสยิดเนี๊ยะมาติ้ลและ จังหวัดปทุมธานี

นายหวังดี นิมา หรือ หวังเต๊ะ อายุ 84 ปี ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง เพลงพื้นบ้าน ประจำปี พุทธศักราช 2531 เสียชีวิตแล้ว วันนี้ (26 มิ.ย.) เมื่อเวลา 03.00 น. หลังเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ด้วยโรงมะเร็งตับ ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.2554 โดยบุตรชาย เปิดเผยว่าจะนำศพออกจากโรงพยาบาลไปประกอบพิธีทางศาสนาอิสลาม ที่มัสยิดเนี๊ยะมาติ้ลและ หมู่ 3 ตำบลหน้าไม้ อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี โดยจะมีพิธีฝังศพ ในเวลา 15.00 น.

ทั้งนี้ นายหวังดี นิมา หรือเป็นที่รู้จักกันดีในนาม หวังเต๊ะ เกิดเมื่อเดือนมีนาคม พุทธศักราช 2468 ที่จังหวัดปทุมธานี หวังเต๊ะ เป็นศิลปินผู้มีความสามารถเป็นเลิศด้านศิลปะเพลงพื้นบ้านมีความชำนาญเป็นพิเศษในการแสดงลำตัด โดยตั้งคณะชื่อลำตัดหวังเต๊ะรับงานแสดงเป็นอาชีพมาจนถึงปัจจุบันกว่า 40 ปี ซึ่งหวังเต๊ะ เป็นศิลปินตัวอย่างของผู้สร้างสรรค์และสืบทอดศิลปะการแสดงพื้นบ้านคนสำคัญ และเป็นศิลปินที่มีความสามารถรอบตัว สามารถด้นกลอนสดและแต่งคำร้องได้อย่างคมคาย เหมาะสมกับลีลาและสถานการณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน


วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

การถามเกี่ยวกับสุขภาพ

Salut ! Rattinan et Anocha.

comment ça va ? Quel temps fait-il ,tu restes où ? Est ce-que tu Cuisine la nourriture.
suisse,pence Thaïlande ? Quand est-ce tu vas revenir en Thaïlande ? J'espère que vous allez bien.
J'espère que vous l'apprécierez.Mais importante ne oublier pas d'acheter un chocolat de moi. Soin de vous bien.


Au revoir